เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพูดถึงธรรมวินัย ใครก็อ้างธรรมวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือศาสดา ธรรมวินัย เห็นไหม แล้วเขาก็บอกว่าเรานี่เน้นแต่ธรรมวินัยตลอด แต่ทำตรงข้ามกับธรรมวินัยทั้งหมดเลย ธรรมวินัยบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก เมื่อวานนี้โดนอบรม ว่าแม้แต่อรุณ.. เราอาจจะไม่เข้าใจว่าอรุณคืออะไร?
เราบอกว่าอรุณ เห็นไหม ดูสิแสงเงินแสงทองขึ้น อรุณขึ้นมันต้องได้เห็น ใบไม้อ่อน ใบไม้แก่ เห็นลายมือ นี่อรุณขึ้นเป็นอย่างนั้น พออรุณขึ้นมาแล้ว พออรุณขึ้นถือว่าราตรีพ้นไป อรุณขึ้นนี่เริ่มต้นวันใหม่ ทุกอย่างก็ดำเนินไป พอดำเนินไป สิ่งที่ธรรมวินัยบัญญัติไว้ พระเวลาออกบิณฑบาตต้องได้อรุณก่อน ทีนี้คำว่าได้อรุณก่อนมันก็ได้อรุณอยู่แล้ว พอได้อรุณอยู่แล้ว ทีนี้ฤดูกาลมันมีของมัน ถ้าฤดูกาลมีของมัน เห็นไหม เวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน เวลาอะไรนี่ ถึงว่าเราดูอรุณไว้แล้วใช่ไหม ในฤดูกาลนั้นเรากำหนดเวลานั้น แล้วออกตามเวลานั้น ออกตามเวลานั้น แต่ถ้าอรุณขึ้น ถ้าเกิดว่าเวลาฤดูกาลครึ้มฟ้าครึ้มฝนมันไม่เห็น ทีนี้กำหนดไว้ก็กำหนดไว้ตี ๕ ครึ่ง วันนี้ก็นั่งกันอยู่นี่ตี ๕ ครึ่งทั้งหมดเลย แล้วตี ๕ ครึ่งได้อรุณไหม? ก็ได้หมด
แต่เวลาที่นี่บนศาลาใช่ไหม? บนมันโล่งใช่ไหม? นี่เมื่อวานบอกให้เราพิสูจน์ก่อน ให้พิสูจน์ก่อน มันต้องพิสูจน์ เพราะเราก็มั่นใจว่าอรุณของเราได้ มันได้อรุณอยู่แล้ว เขาบอกว่าไม่ได้อรุณ อย่างนั้นก็ไม่ได้อรุณ
ถ้าลงจะตะแบงนะ ไปอยู่ในห้องมันมีอรุณไหมล่ะ? ก็เอ็งมุดอยู่ในรูแล้วอรุณมันเกิดที่ไหนล่ะ? อรุณไม่เกิดหรอกถ้ามึงอยู่ในรู แล้วมึงอยู่ในที่แจ้งอรุณมันก็มีอยู่แล้ว แล้วบอกว่าไม่ได้อรุณ ก็ไม่ได้ ก็มึงจะทำให้ไม่ได้มันก็คือไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นอรุณก็คืออรุณของมัน
ทุกคนบวชมาทั้งชีวิตใช่ไหม? เราก็บวชมาทั้งชีวิต ทุกคนเอาชีวิตสละมา สละมาเพื่ออะไร? สละมาเพื่อมรรค ผล สละมาเพื่อพ้นทุกข์ แล้วเราจะเอาชีวิตนี้มาแลกกับของที่อย่างนี้ได้ไหม? เพียงแต่มันน่าเสียดาย น่าเสียดายว่าเขามีทางวิชาการมา แต่ประสบการณ์เขาไม่มี เขาไม่มีเพราะเขายืนยันไง ยืนยันว่ามันไม่ได้อรุณ
เขาบอกเอาอบรมนะ อรุณคือแสงเงินแสงทองใช่ไหม? ไอ้นี่ก็แสงเงินแสงทอง ก็นั่งกันอยู่นี่ นั่งกันอยู่นี่ใช่ไหม? แล้วเขาเข้าใจผิด เขาบอกว่าเรานี่ไปดูเวลาเป็นอรุณ เอานาฬิกาเป็นอรุณ สมัยพุทธกาลไม่มีเวลา ไม่มีนาฬิกา ยามมันมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยาม เห็นไหม นาฬิกาแดดมันมีมาก่อนพุทธกาลอีก มันมียามมีอะไรเขาบอกมาอยู่แล้ว
มันไม่ใช่พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกพูดอย่างนั้นจริง เราบอกธรรมวินัย เขาบอกพระไตรปิฎก แต่ไอ้ที่ว่าให้ดูนี่มันอยู่ในอรรถกถา มันเป็นบาลีเหมือนกัน พระไตรปิฎกนะ แต่แปลออกมา บอกว่าให้กำหนดเวลาแล้วเอาเวลานั้น ให้เอาเวลานั้น ถ้าแบบว่ามันครึ้มฟ้าครึ้มฝนให้เอาเวลานั้น
ทีนี้เวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝนใช่ไหม? คำว่าครึ้มฟ้าครึ้มฝน คือว่าฝนตกนี่พระซ้อนผ้าไม่ได้ ถ้าซ้อนผ้าไปมันเป็นอาบัติเหมือนกัน ถ้าปกติไม่ซ้อนผ้าอาบัติไม่มี ซ้อนผ้าไม่ซ้อนผ้าอาบัติไม่มี อาบัติไม่มีเลยนะ เพราะว่าเมื่อก่อนพระเรานี่ พระพุทธเจ้าทดสอบก่อนขึ้นไปบนภูเขาไง ห่มผ้าชั้นหนึ่งมันก็ยังหนาวอยู่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น ก็เลยบัญญัติสังฆาฏิ ๒ ชั้น แล้วจีวรชั้นหนึ่ง ๓ ผืนอยู่ได้แล้ว ไม่ต้องมีผ้าห่ม ธุดงค์ไปได้ตลอดที่ไหนก็ได้
ทีนี้พอใช้อย่างนี้มาตลอดใช่ไหม? เวลาพระธุดงค์ไป นี่สมัยก่อนพวกลัทธิต่างๆ มันเยอะ ขโมยผ้าต่างๆ เห็นไหม ต้องห่มผ้า ๓ ผืนออกบิณฑบาตหมด ทีนี้พอสุดท้ายแล้วพระอานนท์ลืม แล้วพอมาสร้างวัดขึ้นมา พอมีประตูลั่นดาน พอมีประตูลั่นดานใครจะไม่ซ้อนจีวร ไม่ซ้อนสังฆาฏิก็ไม่เป็นไร อนุญาตไง อนุญาตอยู่
แต่ทีนี้ว่าการห่มผ้าซ้อนหรือไม่ซ้อนนี่ไม่เป็นอาบัติ ไม่เป็นอาบัติ แต่พระป่าเราถือการซ้อนผ้าเป็นประเพณี พอถือการซ้อนผ้าเป็นประเพณี เห็นไหม เวลาฝนตกถ้าซ้อนไป เวลาฝนตกถ้ามันเปียกขึ้นมามันจะไม่ได้ แบบว่าปกติจะซ้อนผ้าออกบิณฑบาตทุกวัน เว้นไว้แต่ว่าฝนมันจะตก หรือฝนตกจะทิ้งผ้าไว้ที่นี่ เขามาดูเขาบอกว่านี่ขาดผ้าครอง
มันขาดครองได้อย่างไร? ในเมื่อมันได้เวลาแล้วออก อรุณที่มันออกไปใช่ไหม? เราได้อรุณแล้วออกอย่างนี้ทุกวัน แล้วพอได้อรุณแล้วนี่วันนี้ชัดเจนมาก ได้อรุณชัดเจนมาก วันนี้ได้อรุณชัดเจนมาก เราไม่พูดให้ลึกกว่านี้นะ ลึกกว่านี้ไปมันจะเป็นสังฆเภทไปเลย ใครยุยงมันจะเป็นสังฆเภทไปเลย แต่มันต้องแยกฉัน แยกลงอุโบสถเป็นสังฆเภทเลย
ทีนี้ไม่อยากให้ลงถึงขนาดนั้น เพราะเราพระด้วยกัน เพียงแต่ว่า ๑. พระด้วยกัน ๒. เสียดาย เสียดายความรู้ ทำไมไม่มาคุยกับเราก่อนล่ะ? ทำไมไม่มาคุยกับเรา ทำไมไม่มาปรึกษาเรา ของอย่างนี้มันเป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน มันปรึกษากันได้ อย่าไปวิตก วิจาร แล้วฟัดกันเอง ทิ่มกันเอง ทิ่มแล้วทิ่มอีก ทิ่มแล้วทิ่มอีกจนแตกเป็นสองฝ่าย
นี่ไง นี่คุยได้ พูดได้ แล้วพิสูจน์ได้ วันนี้พิสูจน์ ตอนเช้าพิสูจน์แล้ว วันนี้พิสูจน์แล้วชัดเจนมาก อรุณเด็ดขาด.. นี้เรื่องธรรมวินัยนะ นี่เราบอกว่าธรรมวินัยๆ แล้วเขาบอกว่าต้องถือพระไตรปิฎกอย่างเดียว ใช่! ก็ถือพระไตรปิฎกอย่างเดียว แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องวางไว้ ดูสิสัญญา เห็นไหม อย่างที่เราบอก
นี่เขาบอกว่า จิตดวงหนึ่งเป็นจิตดวงหนึ่ง จิตดวงหนึ่งจำจิตดวงต่อไป จำสภาวธรรมอย่างนั้น จำสภาวธรรม! จำสภาวธรรมจนชำนาญจะเกิดปัญญาเอง แล้วเกิดโดยฉับพลัน
อ่านคำว่าฉับพลัน นี่ในพระไตรปิฎก ในตำราก็บอกว่าเวลาปัญญาเกิดจะเกิดฉับพลัน แต่ที่มามันต่างกัน ที่มาของปัญญามันต่าง เริ่มต้นผิดมามันไม่มีหรอก ที่มาของมันจะไม่เป็นอย่างนี้ ที่ว่าจิตดวงหนึ่งจำอีกดวงหนึ่ง จำสภาวธรรมให้แม่น นี่การเคลื่อนไหวตั้งรู้อย่างนี้ถึงจะเกิดปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดโดยฉับพลัน
ใช่ ปัญญาเกิดฉับพลัน แต่! แต่ปัญญาจะเกิดฉับพลันโดยที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา.. ปัญญาเกิดโลกุตตรปัญญา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากจำสภาวะ เขาเน้นจำสภาวะ จำสภาวะเป็นสัญญา ถ้าเป็นสัญญา สัญญาจะเกิดปัญญาได้อย่างไร? มันต้องพัฒนา มันต้องไปขั้นตอนหนึ่ง มันต้องไปอีกระดับหนึ่ง ปัญญาจะเกิดอีกระดับหนึ่งไม่ใช่ระดับนี้ แต่ถ้าระดับนี้เกิดฉับพลัน ฉับพลันมันก็เป็นสัญญาไง มันเป็นสัญญาเพราะอะไร? สัญญาเพราะศึกษาธรรมวินัยไง ศึกษาพระไตรปิฎกไง แล้วไม่วางไว้ก่อนไง
นี่มันจะรู้ถูกรู้ผิดนะ คนปฏิบัติมันจะทดสอบแล้วมันจะผิดมันจะถูกของมันไปอย่างนี้ พอมันปล่อยวาง มันเข้าใจ ปัญญามันเกิดเขาก็เข้าใจใช่ไหม? มันก็มีความสุขพักหนึ่ง พอมีความสุขพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็ตีกลับ พอตีกลับมันก็จะสอนคนปฏิบัตินั้นไง เอ๊อะ.. มันไม่สมุจเฉทเว้ย มันไม่ละจริงเว้ย
นี่แต่มีครูบาอาจารย์ของเราท่านผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาแล้วไง ท่านบอกว่าต้องวางไว้ก่อน ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่นนะ คำว่า วางไว้ก่อน ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ ไม่ใช่ปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธมันจะมีปริยัติ ปฏิบัติทำไมล่ะ? ปริยัติมีไว้ทำไม ปริยัตินี่ ปริยัติคือมีไว้ศึกษา แต่เพราะศึกษาแล้วไม่ปล่อยก่อน ไม่วางก่อนแล้วมาปฏิบัติเลย พอปฏิบัติเลยนี่มันจะเป็นสัญญา หลวงปู่มั่นใช้คำว่ามันจะขัดมันจะแย้ง มันจะถีบ มันจะเตะกัน
ความรู้สึกของเรา ข้อเท็จจริง ความจริงมันจะเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง เราไปทำงานสิ เราจะมีประสบการณ์ไหม? แต่พอประสบการณ์ปั๊บเราก็กลัวผิดจากตำรา เห็นไหม เราก็ละล้าละลังไหม? นี่เวลาปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ท่านรู้อย่างนี้ไง ท่านบอกว่าถ้าเอามาปฏิบัติพร้อมกันนี่ไปได้อยู่ แต่มันยากมาก มันยากหมายถึงว่ามันต้องลองผิดลองถูก ไอ้คนปฏิบัตินั้นเองจะทุกข์เอง จะทุกข์เอง
ข้อเท็จจริงกับทฤษฎีมันจะขัดแย้งกันในความรู้สึกของเรา แล้วเราจะต้องหาสมดุลของมัน แล้วความจริงกว่าจะหาสมดุลของมัน เราจะไม่หาสมดุลของเราเองเพราะเรามีกิเลส เราต้องเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมดา การเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมดา มันก็ว่านี่ต้องบรรลุธรรม พอบรรลุธรรมขึ้นมา ถ้าพอมันเสื่อมนะ..
นี่นักปฏิบัติไปตายตรงนี้เยอะ เขาเรียก กรรมฐานม้วนเสื่อไง เวลามันเสื่อมไง เวลามันตีกลับ มันเสื่อมเขาเรียกกรรมฐานม้วนเสื่อ คือม้วนเสื่อเลิกเลย ตีกลับหมดเลย เพราะอะไร? เพราะความมั่นใจว่าเป็นผลไง แต่ถ้าในการปฏิบัตินะวางไว้ก่อน พอวางไว้ก่อนแล้วประพฤติปฏิบัติไป
นี่เขาเข้าใจผิด เข้าใจว่าพระไตรปิฎกก็ปฏิเสธ อะไรก็ปฏิเสธ อวดรู้ อวดดี.. อภิธรรมเขาเข้าใจพระป่าเป็นอย่างนี้ แต่เวลาเราแก้ไข เวลาเรารักษาคนไข้มันคนละขั้นตอนกันใช่ไหม? เวลารักษาคนไข้ ฟื้นฟูก็อย่างหนึ่ง ให้ยาก็อย่างหนึ่ง ทุกอย่างก็อย่างหนึ่ง ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่ทำสมถะก็เป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่ทำปัญญาก็เป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่ทำอย่างหนึ่งมันเป็นขั้นตอนของมัน รวบรัดมาเป็นอันเดียวกันไปหมดมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ในวงกรรมฐานเราถึงบอกว่า
ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
ถ้าไม่มีความสงบของใจนี่สัญญามันมี สัญญาตัวนั้นมันจะเอาข้อมูลมา เอาข้อมูลกับเอาประสบการณ์ของเรามาสร้างภาพ มันเป็นไปไม่ได้ นี่ไง เพราะความเข้าใจผิด เพราะพอบอกว่าความเห็นผิดใช่ไหม? นี่มีการศึกษานะ มีทางวิชาการ แต่ยึดวิชาการว่าต้องเพี๊ยะอย่างนั้น นี่ก็เพี๊ยะอยู่ ต้องอย่างนั้น เราทำอย่างนั้น แต่ประสบการณ์มันมีใช่ไหม? พอประสบการณ์มันมีนี่ได้เวลาก็ไป ได้เวลาก็ไป ได้เวลาก็ไป
แล้วนี่เราบอกว่าใครอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาหน้าหนาวเราจะเลื่อนไป นี่ตี ๕ ครึ่ง ตี ๕.๔๕ ตี ๕.๔๐ ตี ๕.๔๕ มันจะไป เดี๋ยวหน้าหนาวมันจะขยับออกไป ขยับออกไป แต่เวลาวันนี้ชัดเจนมากเลย เพราะนั่งกันอยู่นี่แจ๋วแหววเลย แต่นี้ก่อนหน้านี้มันเห็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนไหม? มันจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอด พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนเอ็งจะรออย่างไรในเมื่อเวลามันเป็นแล้ว
มันยึดอรุณนั้นน่ะไม่ได้ยึดเวลาหรอก ไม่ได้ยึดเวลา แต่เอาอรุณนั้นบวกกับเอาเวลานี้เป็นสมมุติ เอาเวลานี้เป็นที่นัดหมาย เป็นที่นัดหมายของพระหลายๆ องค์ที่จะออกบิณฑบาตพร้อมกันในสายนั้น มันเป็นการนัดหมายในเวลานั้น แล้วเวลานั้น อรุณเราก็ค่อยขยับได้ ขยับได้ นี้ไปตีว่าขาด ไม่ได้อรุณ ไม่ได้อรุณของใครล่ะ? ไม่ได้อรุณของใคร?
นี้ความเห็นของเขาใช่ไหม? นี่เราบอกว่า เวลาเราพูดกับพระที่เวลามาโต้แย้งกัน หรือว่ามีอะไรกัน เราบอก เฮ้ย.. พระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธเจ้ากูคนละองค์นะมึง สงสัยพระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธเจ้ากูคนละองค์แล้วแหละ
นี่เขาบอกว่าอรุณ แต่เพราะเขาเข้าใจว่าทิ้งพระพุทธเจ้า เขาเข้าใจว่าเราไปเอานาฬิกา เขาบอกว่ามันไม่มี สมัยพุทธกาลไม่มีเวลา ต้องเอาอรุณ ไม่มีเวลา.. เอาอรุณ! แต่นัดหมายกันด้วยเวลา ไม่ได้เอาเวลา เอาอรุณนั่นแหละ พออรุณมันได้แล้วมันก็สภาวะอย่างนั้น
นี่พูดถึงปฏิบัติไป ไอ้นี่ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าเรื่องธรรมนะ นี่พูดถึงข้อเท็จจริงในกฎหมายมันเป็นอย่างนี้ ในวินัย ในวินัยมันต้องเด็ดขาดไป เด็ดขาดไป.. เมื่อวานเรายืนยันแล้วแหละว่าได้ แต่เราต้องการบอกให้พิสูจน์วันนี้อีกวันหนึ่ง ให้เขามาพิสูจน์ด้วยกันเอง พิสูจน์ตอนเช้านี่แหละ เพราะวันนี้อากาศมันดี วันนี้อากาศมันไม่มีเมฆ วันนี้ชัดเจนเลย ต้องพิสูจน์กัน ไม่ใช่ว่าเราอยู่บนศาลานี้ เขาไปอยู่ในกุฏิ ไม่ได้หรอก เที่ยงก็ไม่ได้ เย็นก็ไม่ได้เพราะอยู่ในกุฏิมันมืด ไม่มีหรอก
นี่ไงมันอยู่ที่ใครจะจับผิดใครไง อยู่ที่ใจเป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า? ถ้าใจเป็นลูกผู้ชายจริงมันต้องเผชิญกันต่อหน้า มันต้องให้พูดสองฝ่ายแล้วพิสูจน์กัน ไม่ใช่พูดลับหลัง ให้พูดกันต่อหน้า พิสูจน์ได้ทุกกรณี คุยได้หมดทุกเรื่อง
แต่นี้ไอ้เรื่องกิริยาที่ว่าเราเสียงดังอะไรเนี่ย อย่างนี้ประสาเรานะ ลูกศิษย์เราเขาบอกว่า นี่พอมาฟังเราบ่อยๆ แล้วมันออกมาจากใจ แบบว่ามันต้องกระทืบ แบบว่ากระทบให้ออกด้วย ถ้าออก เออ.. วันไหนออกมันฟังแล้วมันเข้าใจ มันฟังแล้วมันซึ้งใจ แต่คนไม่เคยบอกว่าอันนี้กิเลสหมดนะ โอ้โฮ.. โทสะ โอ้โฮ.. ไฟทั้งนั้นเลยเว้ย โอ้โฮ.. มึงเผามึงก่อนแล้วก็เผากูนั่นน่ะ เผาคนพูดก่อนไง
นี่มันคิดแต่ไฟไง มันไม่เห็นไฟเป็นประโยชน์กับการเผาผลาญอาหาร ทำให้อาหารสุก ไฟมีประโยชน์กับอะไรบ้าง ถ้าเรารู้จักใช้ รู้จักเก็บประโยชน์มัน ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็เผาผลาญ มันก็ทำลายทั้งนั้นแหละ แต่ไฟมันให้ความอบอุ่นนะ มันทำให้อาหารดิบเป็นอาหารสุกได้นะ ทุกอย่างได้หมด นี่ตรงนี้มันไม่ได้คิดไง มันคิดแต่ว่าไฟคือไฟไง วิทยาศาสตร์ไง
พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เราบอกวิทยาศาสตร์นี่ ถ้าผิดก็ผิดทางวิทยาศาสตร์ แต่เวลาเทศน์ธรรมะเราก็เอาวิทยาศาสตร์มาอ้างนี่แหละ ถ้าวิทยาศาสตร์นั้นเป็นโลก วิทยาศาสตร์มันเป็นข้อตายตัว แต่กิเลสนี่ อู้ฮู.. มันเสียด กิเลสนี่มันคอยเลาะมาบ้าง ดักหน้าบ้าง ดักหลังบ้าง หลอกลวงบ้าง บังเงาบ้าง สร้างภาพบ้าง โอ้โฮ.. ถ้าเอาวิทยาศาสตร์นะเสร็จมัน มันหลอกกระทืบทุกเที่ยว การภาวนามันก็หลอกกระทืบตาย แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา นี้ตามความเป็นจริงไป
นี่พูดยืนยัน ยืนยันว่าได้อรุณแน่นอน ได้ชัดเจนมาก ถ้าใครไม่ได้พิสูจน์ใหม่ก็ยังได้ แต่วันนี้พิสูจน์แล้ว พระนั่งอยู่นี่ทั้งหมด แล้วเราถามทุกคน นี้เพียงแต่ว่าเมื่อวานเราพูดไปนี่ เราลูกผู้ชายไงบอกว่าได้อรุณ พระพวกเราบอกได้อรุณหมด แล้วทีนี้เราบอกว่าพวกเรานี่มันเป็นข้างเราใช่ไหม? มันก็จะบอกว่าได้อรุณไง ความเห็นของเขาหลายๆ องค์ก็บอกว่าไม่ได้ ให้ยืนยันกันเขาบอกว่าจะไม่ได้
ฉะนั้น เราบอกว่าถ้าพวกเรา เห็นไหม เขาบอกว่าเราเป็นหัวหน้าก็ต้องยอม วันนี้ก็เลยบอกว่าอย่างนั้นพรุ่งนี้พิสูจน์กัน แต่เขาไปแล้ว เขาไปแล้ว ทีนี้พิสูจน์กันด้วยวันนี้เราจะพิสูจน์กันเอง พิสูจน์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ พิสูจน์ว่ามันได้อรุณหรือไม่ได้อรุณ ได้อรุณแน่นอน เอวัง